หลวงปู่สีโห เขมโก

หลวงปู่สีโห เขมโก ท่านเป็นศิษย์ใกล้ชิดของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ท่านเป็นพระธุดงค์ผู้ทรงคุณวิเศษยิ่งใหญ่องค์หนึ่ง ประสบการณ์การธุดงค์ของท่าน ได้พบกับสัตว์ร้าย สิ่งเร้นลับและตำนานของพระพุทธรูปที่สำคัญและศักดิ์สิทธิ์ถึง ๒ องค์ ที่สร้างก่อนสร้างกรุงศรีอยุธยาถึง ๓๐๐ ปี และตำนานประวัติที่แท้จริงของพระเจ้าสายน้ำผึ้งและเจ้าแม่สร้อยดอกหมากแห่งวัดพนัญเชิง จ.พระนครศรีอยุธยา

หลวงปู่สีโห เขมโก ท่านเป็นพระผู้ศักดิ์สิทธิ์ เคร่งครัดในพระธรรมวินัยอย่างยิ่งยวดและชอบรุกขมูล ไม่ชอบอยู่วัดวาอาราม ท่านรักที่จะอยู่ตามป่าช้า ตามถ้ำในป่าเปลี่ยว สถานที่วิเวกแวดล้อมไปด้วยสัตว์ร้ายนานาและไข้ป่า มุ่งมั่นอยู่ในมรรคกระแสพระนิพพานเต็มตัว ไม่วอกแวกไปทางอื่น

ที่ท่านไม่ชอบอยู่ตามวัดเพราะไม่ชอบคลุกคลีกับชาวบ้าน ทำให้ใกล้ความประมาท เป็นเหตุให้กิเลสกำเริบและเข้าไปเกาะจิตวิญญาณ คุณสิทธา เชตวัน ได้รู้จักกับพระอาจารย์ยี่หลก ศิษย์ก้นกุฏิของหลวงปู่สีโห ท่านได้ถ่ายทอดเรื่องราวของหลวงปู่ให้ฟังว่า

พระอาจารย์ยี่หลก ท่านเป็นพระธุดงค์ที่มีญาณแก่กล้า เคยธุดงค์ไปแต่ลำพังผู้เดียวทั่วภาคอิสาน ภาคเหนือ แล้วข้ามเขตเข้าไปในพม่าและลาวมาแล้ว ท่านเป็นพระผู้มีวาจาสิทธิ์ น่าเลื่อมใสดังนั้น เรื่องราวต่อไปนี้ จึงยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริงทุกประการ

ประมาณปี พ.ศ.๒๔๗๓ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้ให้พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม นำพระภิกษุสามเณรจำนวนมากจัดเป็นกองทัพธรรมออกเผยแพร่ธรรม

สมัยนั้น หลวงปู่สีโห ยังหนุ่มแน่น แต่ก็มีชื่อเสียงในทางกรรมฐานมาก ได้รับการยกย่องจากพระอาจารย์มั่น

หลวงปู่พร้อมพระธุดงค์ ๕-๖ รูป ได้ไปปักกรดอยู่ที่ป่าช้าแห่งหนึ่ง ในอำเภอมัญจาคีรี ยังความไม่พอใจให้แก่ชาวบ้านในละแวกนั้นเป็นอย่างยิ่ง เพราะชาวบ้านเขานับถือผี ไม่เคารพเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เห็นพระเป็นศัตรูไปหมด เพราะเป็นที่เลื่องลือในสมัยนั้นว่า คณะพระธุดงค์ชอบทำลายศาลปู่ตา ที่สถิตย์ของผีสางที่ชาวบ้านเคารพกราบไหว้บูชาเพื่อให้ชาวบ้านหันมานับถือพระสงฆ์องค์เจ้า

ศาลปู่ตา ที่ป่าช้าหมู่บ้านแห่งนั้นดุร้ายมาก ชาวบ้านผ่านไปมาทำอะไรผิดแม้เล็กน้อย เป็นต้นว่าขาดการให้ความเคารพนบไหว้บ้าง ไปเก็บเห็ด เก็บผักในป่าลืมบอกบ้าง ถ่ายปัสสาวะบ้าง หรือทำต้นไม่ในเขตศาลหักบ้าง มักจะถูกผีทำโทษ ให้เจ็บป่วยถึงตาย สร้างความเกรงกลัวให้แก่ชาวบ้านสืบทอดกันมาหลายชั่วคน

หลวงปู่สีโห รู้สึกสลดสังเวชที่ชาวบ้านหลงผิดไปนับถือผี มีความเกรงกลัวแบบไร้สาระ ต้องฆ่าหมูเห็ดเป็ดไก่ไปสังเวยเซ่นสรวงกันไม่ขาด เป็นการทำลายชีวิตสัตว์น่าอนาถนัก ซ้ำยังทำให้ชาวบ้านขาดศีลธรรม เพราะไม่มีผู้ชี้ทาง ให้ข้ออรรถข้อธรรม สั่งสอนอบรมกล่อมเกลากมลสันดานให้รู้จักผิดถูก ให้รู้จักเมตตาปราณีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันชาวบ้านมีแต่การมั่วสุมในอบายมุข กินเหล้าเมายา เล่นการพนัน เมื่อผิดใจ ก็ตีรันฟันแทงกันถึงล้มตาย เป็นคนโหดร้ายทั้งชายทั้งหญิง

ชีวิตของพวกเขาน่าสงสารแท้ เมื่อตายแล้วหนทางไปคืออบายภูมิ มีนรกเป็นแดนเกิดเป็นแม่นมั่น หลวงปู่ท่านมีจิตเมตตาคิดอยากจะช่วยฉุดพวกเขาจากทางแห่งอบายภูมิ จึงได้พาพระธุดงค์ในคณะตรงไปยังศาลปู่ตา อันเฮี้ยนและ
มีฤทธิ์ในทางชั่วร้ายแห่งนั้น แล้วช่วยกันรื้อทำลายลงจนราบคาบไม่มีชิ้นดี

การกระทำของคณะพระธุดงค์ สร้างความโกรธแค้นให้แก่ชาวบ้านเป็นอย่างยิ่งเพราะถือว่าไปทำลายล้างความเชื่อถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา

ปรากฏว่าในตอนกลางคืนวันนั้น ผีปู่ตาได้อาละวาดครั้งใหญ่ชาวบ้านไม่ได้หลับได้นอน ด้วยว่ามีเสียงประหลาดได้วิ่งเข้าไปในหมู่บ้าน เสียงดังสนั่นหวั่นไหว คล้ายกับมีฝูงวัวฝูงควายนับร้อยนับพันตัววิ่งเข้าไปในหมู่บ้านฝุ่นคลุ้งไปหมด แต่มองไม่เห็นตัว หมาในหมู่บ้านส่งเสียงเห่าหอนและร้องอี๊ด ๆ หางจุกก้นแสดงความเกรงกลัวในเสียงประหลาดที่มนุษย์มองไม่เห็น

ชาวบ้านรู้ดีว่าเป็นขบวนผีปู่ตาอาละวาด เพราะถูกคณะพระธุดงค์ทำลายศาล นอกจากเสียงวิ่งแตกตื่นปานหมู่บ้านจะถล่มแล้ว ยังปรากฏเสียงร้องห่มร้องไห้กันระงม ทั้งลูกเด็กเล็กแดง เป็นทำนองพร่ำรำพันว่าบ้านช่องถูกทำลาย แล้วพวกตนจะไปอยู่ที่ไหน ได้รับความเดือนร้อนลำบาก บ้านแตก สาแหรกขาด เลือดตาแทบกระเด็น ชาวบ้านจะต้องได้รับการแก้แค้นในครั้งนี้

เสียงรำไห้โหยหวนรำพันเหล่านี้คือเสียงของฝูงผีนั่นเอง

รุ่งเช้าชาวบ้านล้วนชายฉกรรจ์ หมู่หนึ่ง ได้ยกขบวนกันมาที่ป่าช้า ทุกคนถือปืนแก๊ปคาบศิลากันคนละกระบอก ด้วยความโกรธแค้น มุ่งจะมาฆ่าหลวงปู่สีโห พอมาถึงได้ระยะเผาขนก็ตะโกนด่าอย่างหยาบคาย ต่ำช้าต่างๆ นาๆ แล้วยกปืนขึ้นเล็ง แล้วยิงมายังหลวงปู่สีโหและคณะพร้อมกันทุกกระบอก

ปรากฏว่าปืนยิงไม่ออกสักกระบอกเดียว เมื่อปืนยิงไม่ออกชาวบ้านก็ตกใจ จึงพากันโยนปืนทิ้ง แล้วชักดาบออกมาจะวิ่งเข้าไปฟาดฟันหลวงปู่และพระที่ร่วมเดินทาง ก็ปรากฏเหตุอัศจรรย์ ปรากฏว่าทุกคนก้าวขาไม่ออก คล้ายมีก้อนหินหนักอึ้งถ่วงที่เท้า ต่างก็ดิ้นรนกันไปมาหูตาเหลือกด้วยความตกใจและก็พากันล้มลง

เมื่อเจอกับอภินิหารของหลวงปู่สีโห เช่นนั้น คนเหล่านั้นก็พากันหวาดกลัว กันจนตัวสั่น หน้าซีดเหมือนผีตาย พากันร้องอ้อนวอนขอขมาลาโทษ

หลวงปู่สีโหท่านมีจิตเมตตา ไม่เคยนึกพยาบาทจองเวรผู้ใด จึงถอนพลังกระแสจิตด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์อภิญญา
ทำให้คนเหล่านั้นสามารถลุกขึ้นเดินได้เป็นปกติ ก็เข้ามากราบนมัสการแทบเท้าของหลวงปู่และคณะสงฆ์

หลวงปู่ได้เมตตาอบรมธรรมะให้ฟังอย่างง่ายๆ แต่ทว่ามีข้ออรรถข้อธรรมลึกซึ้งกินใจ มองเห็นอะไรผิดอะไรถูก เห็นทางนรก และทางสวรรค์ ชัดแจ้ง ดุจคนเรามองดูเงาตนเองในน้ำแล้วเห็นเงา ฉะนั้น คนเหล่านั้นก็มีน้ำตาใหลออกมาด้วยความสำนึกผิดชอบชั่วดี

จากนั้นหลวงปู่สีโห ได้ให้พวกเขาไปหาบเอาทรายมา แล้วท่านได้เสกคาถาปราบผี ให้เอาทรายไปหว่านทั่วบริเวณหมู่บ้านปรากฏว่าคืนนั้นเหตุการณ์สงบร่มเย็นดี ไม่มีผียกขบวนวิ่งเข้ามาในหมู่บ้าน ให้หมูหมาแตกตื่นเห่าหอนแต่อย่างใดเลย เป็นที่น่าอัศจรรย์

ชาวบ้านได้พากันมากราบไหว้หลวงปู่และนำข้าวปลาอาหารมาถวายมากมายและยังได้นิมนต์ให้ท่านอยู่ด้วย เพื่อเป็นหลักสรณะที่พึ่ง โดยจะสร้างวัดถวายด้วยแรงศรัทธาหลวงปู่สีโหท่านได้ให้พระธุดงค์ในคณะ ๒ รูป อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้เพื่อเจริญศรัทธาและช่วยชาวบ้านสร้างวัดป่าสาลวันขึ้น ตามนโยบายเผยแพร่ธรรมะของพระพุทธองค์เพื่อที่ชาวบ้านจะได้ส่งบุตรหลานบวชเรียนบำเพ็ญศีลปฏิบัติธรรม ให้พระศาสนาเจริญ แพร่หลายออกไป

จากนั้น หลวงปู่สีโห ก็เดินทางออกจากหมู่บ้านมัญจาคีรี จ.ขอนแก่น จาริกไปยังหมู่บ้านต่างๆ ในเขตจังหวัดกาฬสินธุ์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด เพื่อเผยแพร่ธรรมแก่ชาวบ้าน ในสมัยนั้น ชาวบ้านนับถือผีกันมาก วัดวาอารามมีมากเหมือนกัน
แต่เป็นวัดฝ่ายมหานิกาย ที่หย่อนยานในพระธรรมวินัยกันเสียมาก เช่น พระซื้อม้า วัว ควาย ไว้ขับขี่ เลี้ยงไก่ เลี้ยงหมูไว้ขาย ประจบประแจงชาวบ้าน สะสมเงินทองไว้เป็นทุน ได้อาศัยจตุปัจจัย ทรัพย์สินที่ชาวบ้านนำมาทำบุญสะสมไว้ พอสึกออกมาก็นำเอาไปเป็นทุนในการครองเรือน

สมภารเจ้าวัดบางองค์ร่ำรวย มั่งมีปานเศรษฐี นำเอาเงินที่ชาวบ้านถวายไปซื้อไร่ ซื้อนา ให้ญาติพี่น้องลูกหลาน บวชนานไปก็มุ่งหวังแต่ลาภยศ ที่จะมุ่งแสวงหาทางหลุดพ้น พระนิพพานมีน้อยมาก ความเป็นอยุ่ของพระส่วนมาก
มีพฤติการณ์ไม่ต่างอะไรกับโจรปล้นศาสนา ทำให้กุลบุตรที่เข้ามาบวชเรียน พลอยหลงผิดไปด้วย ถือเอาแต่ว่าการบวชเป็นพระก็ได้บุญแล้ว

ส่วนพระธรรมวินัยนั้น จะประพฤติอย่างไรไม่สำคัญ เป็นพระเสียอย่างเดียว โกนหัวโล้นห่มผ้าเหลืองก็ถือว่าสำเร็จได้บุญแล้ว ชาวบ้านจะมาว่ากล่าวตักเตือนไม่ได้ ถือว่าบาปหนักต้องตกนรก เมื่อได้ชื่อว่าพระต้องทำถูกต้องหมด ใครจะแตะต้องไม่ได้

ด้วยเหตุนี้เอง พระก็กลายเป็นอลัชชี ไม่มีความละอายใจ ทางฝ่ายชาวบ้านที่ไม่รู้ไม่ศึกษาปฏิบัติธรรม ก็กลายเป็นพวกเดียรถีย์ คือผู้หลงผิด เห็นผิดเป็นชอบไปด้วย ต่างพากันสำคัญผิด หลงถือเอาลัทธิผิดๆ สักแต่ได้ชื่อว่าบวชเป็นพระก็ได้บุญกุศลแล้ว ไม่ประพฤติวัตรปฏิบัติธรรม หารู้ไม่ว่าเป็นการทำให้พระพุทธศาสนามัวหมอง

ด้วยเหตุนี้เอง คณะของหลวงปู่สีโห จึงได้ออกเผยแพร่ธรรมกันอย่างขนานใหญ่ มุ่งฝ่ายธรรมยุตอันเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ไปที่ไหนก็สร้างวัดป่าขึ้นที่นั่น เพื่อให้เป็นวัดฝ่ายวิปัสนาธุระ ทั้งชาววัดและชาวบ้านจะได้ฝึกกรรมฐาน เข้าถูกทางแห่งพระนิพพาน

การเผยแพร่ธรรมะของคณะหลวงปู่สีโห ไปถึงไหนก็ปรากฏว่าชาวบ้านแตกตื่นเลื่อมใส มาทำบุญใส่บาตรให้ทานกันมากมาย ต่างก็ดื่มด่ำซาบซึ้งในคำสอนอันเข้าใจได้ง่ายๆ และกินใจของหลวงปู่ ได้พากันสาบานตนเป็นพุทธมามกะ รับศีลถืออุโบสถ ปฏิบัติธรรมฝึกสมาธิทำความเพียร เพื่อหาความสุขสงบในชาตินี้ และหวังผลในชาติหน้า เชื่อในเรื่องกฏของกรรม การเวียนว่ายตายเกิด ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

คำสอนของหลวงปู่สีโห อันประทับใจตอนหนึ่ง มีความว่า

“การทำบุญทำทานใดๆ ได้กุศลก็จริงอยู่ แต่ยังสู้การรักษาศีลไม่ได้ มีอานิสงส์มากกว่าการให้ทานมากมาย คนเราได้เกิดเป็นมนุษย์นี้ถือว่าประเสริฐนักเพราะการจะได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นยากมาก ต้องบำเพ็ญเพียรคุณงามความดีมาหลายร้อย หลายพันชาติ ถึงจะได้เกิดเป็นมนุษย์ ส่วนมากมักจะไปเกิดในนรก หรือเป็นสัตว์เดรัจฉานเสียมากกว่า

มนุษย์เมื่อได้เกิดมาในโลกแล้ว แทนที่จะถือโอกาสบำเพ็ญเพียร สร้างคุณงามความดีกัน กลับปรากฏว่าสร้างสมแต่กรรมชั่ว จึงไม่แปลกอะไรที่มนุษย์ตายไปแล้วไปนรกกันมาก ไปเป็นสัตว์เดรัจฉานกันมาก ถ้าใครอยากได้บุญมาก ได้ไปสวรรค์วิมาน หรือได้ไปนิพพานเพื่อความพ้นทุกข์ ก็ควรรีบประพฤติปฏิบัติ ทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา
เสียแต่วันนี้ อย่ามัวผลัดวันประกันพรุ่ง”

นอกจากคณะของหลวงปู่สีโหแล้ว ก็ยังมีคณะอื่นๆ ที่เป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้แยกย้ายกันไปสร้างความสำเร็จมากมาย

ประมาณปี ๒๔๗๘ หลวงปู่สีโหได้จาริกธุดงค์มาทางโคราช ได้แวะเยี่ยมพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ที่ปักกลดจำพรรษาอยู่ในป่าช้าวัดป่าศรัทธาธรรม ใกล้กองทหารมณฑลทหารบก นครราชสีมา มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย เช่น จอมพลผิน ชุณหะวัณ พลเอกหลวงหาญสงครามเป็นต้น

หลวงปู่สีโหพักอยู่กับพระอาจารย์ฝั้น ชั่วระยะหนึ่ง จึงลาไปเพื่อมุ่งหน้าไปยังจังหวัดสระบุรี เพื่อไปนมัสการรอยพระพุทธบาท และพระพุทธฉาย จากนั้นก็จะไปยังกรุงเก่าเพื่อไปนมัสการ หลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง และหลวงพ่อพระ
มงคลบพิตร อันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา

หลวงปู่สีโห จาริกมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เชิงเขาใหญ่ เขตอำเภอสูงเนินเป็นเวลาใกล้ค่ำ ท่านได้เลือกเอาทำเลอันร่มรื่นใต้เงาต้นไม้ริมห้วยเป็นที่ปักกลดห่างไหลจากหมู่บ้านประมาณ ๑ กิโลเมตร ชาวบ้านมองเห็นกลดของหลวงปู่
ได้พากันนำน้ำร้อน น้ำอ้อย น้ำตาลมาถวายและกราบไหว้นมัสการถามไถ่ความเป็นมา ห

ลวงปู่ได้เล่าให้ฟังว่าจาริกมาไกล จากอีสานจะไปนมัสการรอยพระพุทธบาท ที่สระบุรี และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อีกหลายแห่ง

ชาวบ้านได้อาราธนาศีลและขอให้หลวงปู่เทศน์โปรดสัตว์ หลวงปู่ก็เมตตาให้ศีลและเทศนาโปรด เป็นที่ซาบซึ้งกินใจชาวบ้านจนน้ำตาไหลไปตาม ๆ กัน

ด้วยความปิติในธรรมและความเลื่อมใสศรัทธา จากนั้นชาวบ้านก็นิมนต์ให้หลวงปู่ไปปักกลดในหมู่บ้าน เนื่องด้วยมีช้างป่างายาวตัวหนึ่ง ชื่อไอ้ตาเดียวอาละวาดอยู่ในเขตนี้มาได้สามเดือนแล้ว ไล่ทำร้ายชาวบ้าน ทำลายพืชผลไร่นา
เสียหายนับไม่ถ้วน และฆ่าชาวบ้านมาแล้วถึง ๒๓ ศพ ทางราชการและชาวบ้านได้พยายามดักซุ่มยิงครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่สำเร็จเพราะไอ้ตาเดียวเป็นช้างที่ฉลาดและรู้ตัวล่วงหน้าทุกครั้ง ราวกับมีพรายกระซิบ มันตาบอดข้างเดียวเพราะถูกพรานยิงลูกตามันจึงดุร้ายและอาละวาด

หลวงปู่สีโหได้ฟังแล้วหาได้สะดุ้งตกใจหวาดกลัวแต่อย่างใดไม่ ได้กล่าวตอบฉันท์เมตตาจิตว่า เมื่อเป็นพระธุดงค์เต็มตัวแล้ว ย่อมจะไม่อาลัยใยดีในชีวิตและกฏของการธุดงค์เมื่อปักกลดแล้วจะถอนไม่ได้ ตัวท่านเองหากจะตายเมื่อใดก็พร้อมที่จะตายทุกเมื่อ หาได้เกรงกลัวความตายไม่ ขอปักกลดอยู่อย่างนี้แหละจะไม่ไปไหน หากตัวท่านจะมีเวรกรรมกับช้างดุร้ายตัวนี้แล้วไซร้ขอให้ช้างตัวนี้ จงทำลายชีวิตท่านให้แตกดับถึงกาลมรณะภัยเสียเถิด

ชาวบ้านได้ฟังดังนั้นก็จนปัญญา ไม่รู้จะกล่าวอย่างไรดี เมื่อตะวันตกดิน ความมืดค่ำมาถึง ชาวบ้านก็กราบลารีบกลับเข้าหมู่บ้าน เมื่อชาวบ้านกลับไปแล้ว หลวงปู่ก็เข้านั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรตามปกติ

พระจันทร์ข้างแรมโผล่พ้นทิวป่าดำทะมึนไม่นานนัก หลวงปู่สีโหก็รู้สึกว่า มีเสียงแผ่วเบาเคลื่อนไหวเข้ามาในกลด แล้วชนข้างหลังหนัก ๆ คล้ายถูกกำปั้นทุบ ทำให้ร่างเซไปข้างหน้าเกือบล้มคะมำ จากนั้นรู้สึกมีร่างลื่นๆ ขนาดใหญ่รัดร่างหลวงปู่จากส่วนเอวขึ้นมาเรื่อยๆ ทำให้รู้ได้ทันทีว่างูกำลังรัดร่างท่านให้กระดูกแหลกเหลว ต่อจากนั้นก็จะขยอกลงท้องเพื่อเป็นอาหารของมันต่อไป

หลวงปู่สีโห หาได้สะดุ้งตกใจกลัวแต่อย่างใดไม่ กลับพิจารณาว่า ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายย่อมเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ด้วยอำนาจความกระหายหิวอันจำแนกออกได้หลายประการ ทั้งนี้เพราะถูกกิเลสครอบงำ รู้เท่าไม่ถึงการณ์หากทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายรู้จักผิดชอบชั่วดี มีศีลธรรมแล้วไซร้กิเลสทั้งหลายที่ห่อหุ้มดวงจิตอยู่ก็จะค่อยๆ ละลายหายไป เหลือแต่จิตอันใสสะอาด เป็นธรรมชาติฝ่ายสูงดั้งเดิม คือความเมตตาปราณี ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน

งูเหลือมตัวนี้ก็เฉกเช่นเดียวกัน ด้วยอำนาจความอยากกระหายหิวของมันจึงมุ่งจะรัดเราให้ตาย แล้วกลืนกินเป็นอาหารให้อิ่มท้อง มันดิ้นรนเสาะแสวงหาอาหารใส่ท้องไปวันๆ ตามปกติวิสัย หาได้รู้ซึ้งซึ่งความผิดชอบชั่วดีแต่อย่างใด จะไปโทษโกรธเคืองมันก็ไม่ได้ จะมีก็แต่ให้อภัยมันถึงจะถูก และควรจะเสียสละร่างของเราให้มันได้กินเป็นอาหารอิ่มท้องด้วยความเมตตา เพราะอำนาจความหิวนี้ใหญ่หลวงนัก การที่เราให้ทานร่างกายของเราแก่งูเหลือมในครั้งนี้ ย่อมถือ
ว่าเป็นการให้ทานอันสูงส่งทีเดียว เพราะเป็นการให้ทานด้วยชีวิต

เมื่อหลวงปู่พิจารณาเช่นนั้นแล้ว ก็เกิดปิติปราบปลื้มอิ่มใจในปรมัถทานในครั้งนี้ ปล่อยให้งูเหลือมรัดขึ้นมาจนถึงหน้าอก จนรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก ได้อนุโมทนาในใจว่า “สาธุ ด้วยอำนาจกุศลทานบารมี ที่อาตมาได้อุทิศร่างเป็นทานให้แก่งูเหลือมในครั้งนี้อาตมาขอแผ่อานิสงส์ผลบุญให้แก่เจ้ากรรมนายเวร และวิญญาณทั้งหลายในจักรวาลโดยทั่วถึงกันจงมารับเอาไปเถิด”

อัศจรรย์อะไรเช่นนั้น เมื่อหลวงปู่แผ่กุศลเสร็จงูเหลือมยักษ์ค่อยๆ คลายขนดออกจากร่างหลวงปู่จนหมดสิ้น

หลวงปู่ได้จุดเทียนขึ้นก็เห็นงูเหลือมเลื้อยออกมาขดเป็นวงอยู่เบื้องหน้าทอดหัวอันใหญ่โตสงบนิ่ง จ้องสายตาวาววามดูท่านเงียบ ๆ

หลวงปู่ก็คิดในใจว่าชะรอยงูเหลือมยักษ์ตัวนี้ จะเป็นเจ้าที่เจ้าทาง มาแกล้งทดสอบลองใจเราดูว่าจะมั่นคงกล้าแข็งแน่วแน่ในพระนิพพาน สักเพียงใหนกระมังเมื่อคิดเช่นนี้ หลวงปู่สีโหจึงได้ให้ศีลแก่งูเหลือม และเทศน์โปรดสัตว์เป็นข้ออรรถข้อธรรมมีใจความว่า

“ถึงแม้จะเกิดเป็นสัตว์เลื้อยคลานชั้นต่ำคืองู หากยึดถือศีลบริสุทธิ์ แค่ศีล ๕ เป็นข้อวัตรปฏิบัติ ละเว้นการฆ่าสัตว์ด้วยกันเป็นอาหารเสีย แผ่เมตตาให้แก่สัตว์ทั้งหลายที่อยู่ร่วมป่าดงพงพีถ้าบุญบารมีเก่าตั้งแต่ชาติปางก่อนหนุนเนื่อง ก็จะไปสู่ภพสุคติภูมิได้”

คำสอนนี้ถือเป็นอัศจรรย์อย่างหนึ่งของหลวงปู่ เพราะเป็นการเทศน์โปรดสัตว์ชี้ทางให้พ้นทุกข์ ปกติสัตว์ย่อมฟังภาษามนุษย์ไม่รู้เรื่อง แต่คำเทศน์ของหลวงปู่ ทำให้งูเหลือมมีน้ำตาไหลออกมา แสดงว่าคำเทศน์ของท่านศักดิ์สิทธิ์ สามารถดลใจทำให้งูยักษ์ฟังรู้เรื่อง จนเกิดความปิติยินดีจนน้ำตาไหล

หลวงปู่สีโหได้ยื่นมือออกมา งูเหลือมยักษ์ได้ชูคอขึ้นสูงและโน้มลงเอาหัวซบกับฝ่ามือของท่าน ๓ ครั้ง เป็นการคารวะนมัสการ ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอย่างสูงสุด จากนั้นงูยักษ์ก็ค่อยๆ เลื้อยหายไปกับความมืด ในราตรีกาลอันอาถรรพณ์

เมื่องูเหลือมยักษ์ไปแล้ว หลวงปู่ก็ดับเทียนนั่งสมาธิต่อไป เจริญจิตจนถึงจตุถฌาณแล้วถอนมาอยู่อุปจารฌาณ
ที่มีความรู้สึกนึกคิด ได้ยกเอาวิปัสนาขึ้นพิจารณาเป็นอารมณ์เต็มขั้น จนล่วงเวลาไปจนถึงประมาณตี ๓ จึงได้ถอนอารมณ์ออกจากวิปัสนาญาน เปลี่ยนเป็นเจริญพรหมวิหาร ๔ ให้เป็นฌาณ แล้วแผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายในจักรวาลโดยทั่วถึงกัน ปรารถนาให้สรรพสัตว์ทั่วจักรวาล มีความรักใคร่ปราณีต่อกัน ไม่มีความพยาบาทอาฆาต จองล้างจองผลาญกันและกัน จงอยู่ร่วมกันด้วยความสงบ สันติสุข

เสร็จแล้วหลวงปู่ก็ถอนจากสมาธิ เตรียมจะพักผ่อนหลับนอนเสียที เพราะนั่งบำเพ็ญเพียรมาตั้งแต่หัวค่ำทันใดก็มีเสียงแผดร้องดังสนั่นหวั่นไหวทำลายความเงียบขึ้น เสียงนั้นดังคล้ายแตรยักษ์ ชวนให้ขนลุกขนพองสยองเกล้ายิ่งนัก..

หลวงปู่สีโหหาได้สดุ้งตกใจไม่ เพราะมีสติอยู่ตลอดเวลา กำลังจิตก็กล้าแข็ง มั่นคงประดุจภูผาหินอันไม่สั่นคลอนต่อดินฟ้าอากาศ ท่านได้เปิดกลดออกให้กว้างเพื่อมองดูเจ้าของเสียงนั้น

ครั้นแล้วก็มองเห็นร่างทมึนสูงใหญ่ มองดูคล้ายหัวรถจักร ยืนตระหง่านอยู่กลางแสงเดือนข้างแรมต้น อยู่ห่างจากกลดประมาณห้าหกก้าว

มันคือช้างป่างายาวกว่าสองศอก หูกางผึ่งเต็มที่ จ้องสายตาดุร้ายเขม้นมองมายังกลดของหลวงปู่สีโหอย่างโกรธแค้นกระหายเลือดตามวิสัยสัตว์ป่าอันเป็นพาลเกเร

“เห็นจะใช้ไอ้ตาเดียวเป็นแน่” หลวงปู่สีโหบอกตัวเอง แล้วก็ทอดสายตามองดูมันเฉยอยู่ อยากจะรู้ว่ามันจะกระทำประการใดต่อไป หาได้มีความรู้สึกเกรงกลัวแม้แต่น้อยไม่

เมื่อมันเห็นหลวงปู่เปิดกลดจ้องดู เจ้าคชสารพาลเกเร ก็แสดงความโกรธแค้นเพิ่มขึ้น ส่งเสียงกัมปนาทปานฟ้าร้องติดๆ กันหลายครั้ง ตาแดงดั่งแสงไฟ ม้วนงวงเป็นก้อนกลม หูผึ่งลู่ไปทางด้านหลัง เตรียมจะพุ่งเข้าใส่ หมายล้างชีวิตของหลวงปู่ให้แหลกลาญ

ท่านได้ทอดสายตามองมันด้วยความเมตตาสงสาร นัยน์ตาของมันบอดสนิทข้างหนึ่งเห็นได้ชัด คงจะมีความทุกข์เวทนามาก อันเนื่องมาจากถูกพรานยิงเอาจนลูกตาแตกเป็นแผลอักเสบเรื้อรัง และที่ขมับหนังย่นๆ รอบต่อมของมัน
ยังมีเมือกสีดำๆ เยิ้มออกมาบอกให้รู้ว่ากำลังตกมันเสียด้วย

ดังนั้น ความดุร้ายของมันจึงเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ครั้งแล้วมันก็พุ่งเข้ามา เท้าทั้งสี่ย่ำพสุธาจนสะเทือนเหมือนจะถล่มทะลาย หลวงปู่จ้องตามันไม่สะทกสะท้าน เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม พร้อมแล้วที่จะอุทิศชีวิตร่างกายให้มันทำลาย
โดยไม่ใยดีไดๆ ถือว่าชีวิตมนุษย์และส่ำสัตว์ทั้งหลายย่อมมีความตายเป็นที่สุด

โลกนี้เป็นอนัตตา คือไม่มีอะไรทรงสภาพเที่ยงแท้แน่นอนเลย หลวงปู่เห็นสังขารทั้งหลายเป็นของน่าเกลียด เป็นแดนของความทุกข์ เพราะกิเลสตัณหาปกปิดความนรู้สึกนึกคิด สังขารทั้งหลายเป็นของว่างเปล่า ท่านไม่ยึดมั่นอาลัยในสังขาร ไม่ปราถนาจะเกิดอีก ท่านหวังพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าจะตายลงเดี๋ยวนี้ ก็ถือว่าเป็นการใช้กรรมเก่าที่ตามไล่ทันในชาตินี้สมควรแก่การแล้ว จึงขอต้อนรับความตายด้วยความยินดี

เจ้าช้างเกเรจอมเพชรฆาต พอมาถึงก็ใช้งวงกระชากกลดของหลวงปู่ขึ้นสูงแล้วเหวี่ยงทิ้งไปตกอยู่ไม่ไกล จากนั้นมันก็รี่ตามไปใช้เท้ากระทืบกลดอย่างโกรธแค้น จากนั้นก็หันกลับมาคว้าบาตรและห่อผ้าเหวี่ยงไปไกลตกในลำห้วย

หลวงปู่สีโห ยังคงนั่งนิ่งเฉย แผ่เมตตาเป็นปุเรจาริก คือมีเมตตาเป็นปกติ เสมอต้นเสมอปลาย ไม่ตื่นตกใจอะไรเลย
มันจะทำอะไรก็ปล่อยให้มันทำไปตามใจชอบ ไม่ขัดขวาง เมื่อมันเห็นหลวงปู่ไม่เกรงกลัวลุกขึ้นวิ่งหนีเอาชีวิตรอด เจ้าคชสารพาลเกเรก็เกรี้ยวกราดใหญ่ แผดเสียงร้องสนั่นหวั่นไหวปรี่เข้ามาใช้งวงจับร่างหลวงปู่ยกขึ้นหมายจะฟาดลงแล้วใช้เท้ากระทืบให้ร่างแหลกเหลวตายคาที่ ด้วยความบันดาลโทสะ

อัศจรรย์อะไรเช่นนั้น ช้างมันไม่สามารถยกร่างของหลวงปู่ขึ้นจากพื้นได้เลย มิหนำซ้ำยังทรุดฮวบลงคุกเข่า คล้ายมาถอนเอาต้นซุงขนาดใหญ่ จนตัวเองต้องเสียหลักทรุดลงหัวซุน มันส่งเสียงร้องกู่ก้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส คลายงวงอันใหญ่โตออก สะบัดไปมากลางอากาศคล้ายกับว่างวงของมันถูกไฟป่าอันร้อนแรงลวกจนสุก ได้รับทุกขเวทนาปิ่มว่าจะสิ้นชีวิตลงในบัดดลเสียให้ได้

หลวงปู่สีโหหัวเราะน้อยๆ ฉันท์เมตตาจิต แล้วเอ่ยขึ้นกับไอ้ตาเดียวว่า

“เจ้าสัตว์เดรัจฉานผู้โง่เขลาน่าสงสารเอ๋ย เจ้าแบกทุกข์หนักไว้ในสังขารจนเปี่ยมแปล้อยู่แล้ว ยังบรรทุกเอาความผูกใจเจ็บโกรธพยาบาทมนุษย์ไว้ให้หนักแรกอีก เมื่อเห็นมนุษย์ที่ไหนก็จ้องจะเข้าเข่นฆ่า ทำลายล้างผลาญชีวิต ไม่คิดหน้าคิดหลัง นับได้ว่าเจ้าได้สร้างกรรมเพิ่มพูนให้ตัวเองเป็นบาปหนักยิ่งขึ้น อนาถหนอ มิหนำซ้ำเจ้ายังเห็นเราผู้เป็นพระอริยะเจ้าเป็นศัตรูเข้าจู่โจมทำร้ายอีก แต่เนื่องด้วยกรรมเก่าของเราทั้งสองไม่เคยมีผูกพันต่อกัน เราจึงหาเป็นอันตรายแต่อย่างใดไม่ ร่างกายของเราจึงหนักอื้งเหมือนภูเขาหินและมี ความร้อนแรงกล้าดุจหินที่เผาไฟเมื่อเจ้าบังอาจลุอำนาจโทสะ เข้าทำร้ายเราเจ้าจึงแพ้ภัยตัวเองได้รับทุกขเวทนาดังนี้แหละ”

เมื่อได้ฟังหลวงปู่กล่าวเช่นนั้น เจ้าช้างตาเดียวก็ชูงวงขึ้นสูงและลดลง ๓ ครั้ง ทำท่าคล้ายนมัสการ เปล่งเสียงร้องครางอยู่ในลำคอ ขอขมาลาโทษ

หลวงปู่สีโห ให้เมตตาสงสาร ไม่เคยนึกผูกใจโกรธเกลียดแม้แต่น้อยจึงลุกขึ้นเดินไปเอามือตบหัวอันใหญ่โตของมันเบาๆ แล้วกล่าวอีกว่า

“พระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงฌานสมาบัติหนึ่ง พระอริยะเจ้าหนึ่ง มนุษย์และสัตว์เจ้าจะทำอันตรายไม่ได้ เราขออโหสิกรรมแก่เจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเจ้าจักหายจากทุกขเวทนา ด้วยประการทั้งปวง ด้วยอำนาจสัจจะบารมีของเรา”

กล่าวจบท่านก็ถอยกลับออกมา ไอ้ตาเดียวก็หยุดร้องครวญคราง ลุกขึ้นยืนตระหง่าน ชูงวงขึ้นสูง ส่งเสียงร้องเบาๆ
แสดงควาปราบปลื้มปิติมีน้ำตาไหลเป็นทางยาวออกมา แล้วมันก็คุกเข่าลงอีก ชูงวงนมัสการขึ้นลง ๓ ครั้ง อาการเจ็บปวดรวดร้าวอย่างแสนสาหัสไม่มีอีกเลย บอกให้รู้ถึงวาจาสิทธิ์ของหลวงปู่สีโห ที่กล่าวอโหสิกรรมให้นั้น ทำให้มัน
หายจากทุกข์ทรมานในพริบตาเป็นที่น่าอัศจรรย์

จากนั้นมันก็เดินลงไปที่ลำห้วย เก็บเอาบาตรและห่อผ้ามาถวายหลวงปู่รวมทั้งกลดที่มันกระทืบแบนติดดินด้วย

การที่เจ้าช้างป่าตาเดียวสามารถฟังหลวงปู่พูดได้เข้าใจและรู้เรื่องโดยตลอด ก็ด้วยอำนาจคุณวิเศษของหลวงปู่
นั่นคือ ท่านมีเจโตปริยญาณ ล่วงรู้จิตใจอารมณ์ของมนุษย์และสัตว์ทุกขณะจิต เมื่อพูดออกไปสามารถทำให้สัตว์เข้าใจได้ทันทีไม่มีติดขัด

เจ้าช้างป่าตาเดียว หลังจากนมัสการและถวายข้าวของที่มันทำลายคืนให้แก่หลวงปู่แล้ว มันก็เดินเข้าป่าไป หลวงปู่ได้ปักกลดใหม่ให้เรียบร้อยแล้วเข้าจำวัดหลับนอนได้ไม่นานก็รุ่งสาง

พอรุ่งสางชาวบ้านได้พากันรีบออกมาแต่เช้าด้วยความเป็นห่วงหลวงปู่เพราะเมื่อคืนนี้ ได้ยินเสียงช้างป่าร้องสนั่นหวั่นไหวน่ากลัวมาก เมื่อมาเห็นหลวงปู่ไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างได แถมยังได้เห็นรอยเท้า ไอ้ตาเดียวย่ำสับสนรอยโตๆ เกลื่อนไปหมดรอบบริเวณที่หลวงปู่กางกลด พวกชาวบ้านต่างก็อัศจรรย์ใจ พากันเลื่อมใสหลวงปู่เป็นอันมาก ได้ถามไถ่เรื่องราว หลวงปู่ก็ได้แต่หัวเราะ บอกว่าไม่มีอะไรหรอก ช้างป่าตาเดียวมาเยี่ยมเยือนท่าน แล้วก็กลับเข้าป่าไปเท่านั้น ไม่มีเหตุการณ์อะไรขอญาติโยมอย่าได้วิตกหวาดกลัวไปเลย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไอ้ตาเดียวเป็นช้างที่ดีแล้ว รับรองได้ว่ามันจะไม่เกเรทำอันตรายผู้ใดอีกต่อไป

ที่ท่านบอกแค่นี้ก็เพราะไม่ประสงค์จะให้ชาวบ้านเห็นท่านเป็นผู้เก่งกล้าวิเศษเกินมนุษย์ ที่ช้างไม่ทำอันตรายท่านนั้น ก็เป็นเรื่องของความเคราะห์ดีมากกว่า แต่ชาวบ้านไม่เชื่อว่า จะเป็นเรื่องเคราะห์ดีโดยบังเอิญของหลวงปู่ที่เอาชนะช้างโทนจอมเพชฌฆาตได้ในครั้งนี้พวกเขาคิดว่าจะต้องเป็นด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์ของหลวงปู่อย่างแน่นอน

ชาวบ้านได้กราบนิมนต์หลวงปู่ให้ท่านอยู่เป็นมิ่งขวัญของหมู่บ้าน โดยรับจะปลูกกุฏิสร้างวัดให้อยู่เป็นการถาวร หลวงปู่ไม่อาจรับสนองความต้องการนี้ได้ด้วยว่าได้ตั้งปณิธานไว้มั่นคงแล้ว ที่จะจาริกธุดงค์ไปตามมรรคาของตนเพื่อแสวงหาพระนิพพาน ให้ถึงที่สุดบรรลุเป้าหมายในเบื้องหน้า

ชาวบ้านได้นำอาหารตามมีตามเกิดหลายอย่างมาถวายให้ฉัน หลวงปู่รับอนุโมทนาแล้วให้ศีลให้พรก่อนจากไปว่า เป็นบุญกุศลของญาติโยมแล้วที่ได้ทำบุญใส่บาตรท่านในเช้าวันนี้ เพราะว่าจักมีน้อยครั้งนักที่ชาวบ้านจะได้ตักบาตรทำบุญพระธุดงค์รุกขมูลที่เพิ่งออกจากฌานสมาบัติและวิปัสนาญาณในตอนกลางคืนเช่นท่าน ใครได้ตักบาตรทำบุญย่อมจะมีผลไพบูลย์ในความเป็นอยู่ ฐานะจะไม่ฝืดเคืองยากจน มีแต่นับวันจะเจริญงอกงามขึ้นเป็นลำดับชาวบ้านได้ฟังแล้วต่างก็ก้มกราบรับพรใส่หัวใส่เกล้าด้วยความ ปิติปลาบปลื้มใจไปตาม ๆ กัน

การเข้าฌานสมาบัติในตอนกลางคืน ของพระบรรลุฌานโลกีย์ นอกจากจะให้ผลอันวิเศษแก่ตัวเองแล้ว ยังให้ผลแก่ญาติโยมที่บำเพ็ญกุศลด้วยยิ่งเป็นพระอริยเจ้าขั้นอนาคามีขึ้นไป ออกจากนิโรธสมาบัติตอนรุ่งสาง ชาวบ้านญาติโยมได้ตักบาตรท่าน ย่อมจะได้รับผลอันยิ่งใหญ่มหัศจรรย์ ในวันนั้นทันตาเห็น

ดังนั้น คนเฒ่าคนแก่จึงสั่งสอนลูกหลานไว้เสมอว่า ถ้าเห็นมีพระธุดงค์ผ่านมา จงพยายามทำบุญตักบาตรท่านให้จงได้ จะเป็นลาภกุศลผลบุญอันยิ่งใหญ่ในชาตินี้ทันตาเห็น เพราะพระธุดงค์ย่อมจะมีบุญญาธิการไม่ขั้นใดก็ขั้นหนึ่งเสมอ

หลวงปู่สีโหจาริกออกจากหมู่บ้านแห่งนั้น มุ่งหน้าเข้าสู่ดงพญาเย็นอันน่าสะพรึงกลัว เป็นที่เลื่องชื่อในความดุร้ายของผีป่า ไข้ป่า และสิงสาราสัตว์ร้ายในสมัยนั้นยิ่งนัก ใครผ่านเข้าสู่ดงมหากาฬนี้แล้วยากที่จะเอาชีวิตรอดไปได้ง่ายๆ

หลวงปู่ธุดงค์ไปไม่รีบร้อนอะไรไปเรื่อย ๆ ตามสบาย พอค่ำลงก็เลือกทำเลอันเหมาะสมสักกลดพักผ่อนบำเพ็ญสมาธิเจริญเมตตาพรหมวิหาร แผ่เมตตาไปทั่วขอบเขตจักรวาลการเจริญพรหมวิหารนี้ทำให้ฌานสมาธิไม่เสื่อม ทำให้ศีลบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ตลอดเวลา เป็นปัจจัยให้องค์วิปัสนาญาณก้าวหน้าขึ้นตามลำดับในทางมรรคผล

พอรุ่งเช้าก็ออกบิณฑบาตรตามต้นไม้ใหญ่ในป่า ด้วยการเจริญภาวนาเทวตานุสสติกรรมฐาน คือสรรเสริญคุณความดีของปวงเทวดาทั้งหลาย ด้วยว่าพระพุทธเจ้ายอมรับในเรื่องเทวดาว่ามีจริง ตามพุทธประวัติจะพบว่าพระพุทธศาสนาไม่เคยห่างเทวดาเลย

พระพุทธเจ้าถึงกับตรัสให้พุทธบริษัทที่บารมียังอ่อน ให้ระลึกถึงความดีของเทวดาเป็นปกติ เทวดาแปลว่าผู้ประเสริฐ ผู้ที่จะเป็นเทวดานั้น ต้องเคยเกิดเป็นมนุษย์มาก่อน เคยบำเพ็ญเพียรสร้างคุณงามความดี มี “หิริ”คือความละอายต่อบาปทั้งหลายทั้งปวง มี “โอตตัปปะ” คือความเกรงกลัวต่อผลของบาปชั่ว ไม่ยอมประพฤติชั่วทางกาย วาจา ใจ ในที่ลับและที่เจ้งมีศีลบริสุทธิ์ผุดผ่อง มีจิตเมตตาปราณี มีการบริจากทาน เสมอต้นเสมอปลาย

เมื่อตายไปแล้วก็ไปเกิดในสวรรค์ชั้นฟ้า กามาวจร คือชั้นจาตุมหาราช ชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานนรดี และชั้นปรนิมมิตตวสวัสดีรวมหกชั้นด้วยกัน บวกภูมิเทวดา ที่เรียกว่าพระภูมิเจ้าที่ และรุกขเทวดาด้วย พวกเทวดาที่มีวิมานสถิตอยู่ตามสาขาต้นไม้ใหญ่ที่เรียกว่า นางไม้ จัดอยู่ในเทวดาชั้นจาตุมหาราช

การบิณฑบาตรตามต้นไม้ในป่านี้ จะมีพวกนางไม้และเทวดาผู้ชายมาใส่บาตรจริง ๆ บางครั้งก็พบว่าเมื่อรุกขเทวดาเหล่านี้ใส่บาตรแล้ว มีแต่บาตรเปล่า ๆ ก็เอาบาตรนี้ไปใส่น้ำแล้วดื่ม ปรากฏว่าจะบังเกิดความอร่อยหอมหวานสดชื่น
อิ่มพอดี มีกำลังวังชาอย่างประหลาด

บางครั้งก็จะได้ข้าวสุกหอมกรุ่นร้อน ๆ และผลไม้ป่าใส่ให้จริงๆ สุดแท้แต่เจตนาอัชฌาสัยของรุกขเทวดาเหล่านั้น จะใส่บาตรแบบไหนเอาแน่นอนไม่ได้ อาหารนี้เรียกว่า อาหารทิพย์ พระธุดงค์ที่สำเร็จได้ฌานสมาบัติแล้วเท่านั้น เทวดาในป่าถึงจะใส่บาตรอาหารทิพย์ให้ ส่วนพระที่บารมียังอ่อนไม่สำเร็จฌาน แต่มีบารมีเก่าหนุนเนื่องมาจากปางก่อน เทวดาก็อาจจะใส่บาตรให้เหมือนกัน แล้วแต่กรณีไป

การใส่บาตรนี้บางครั้งรุกขเทวดาก็ปรากฏกายให้เห็น บางครั้งก็ไม่ปรากฏกายแต่อย่างใด ถ้าเป็นนางไม้จะแต่งตัวเรียบร้อยสวยงามมาก หน้าตาสวยผิวพรรณผุดผ่อง ผมดำยาวประบ่าทัดดอกไม้ป่า ถ้าเป็นรุกขเทวดาผู้ชายก็แต่งกายแบบผู้ดีโบราณ การพูดจาปราศรัยกับรุกขเทวดาขณะใส่บาตรอยู่ที่กาละเทศะอันควรแก่กรณี เป็นต้นว่า ฝ่ายรุกขเทวดาพูดขึ้นก่อน พระธุดงค์จึงมีความประสงค์จะอนุโมทนาแผ่เมตตาให้แก่พวกเขาเพื่อชี้ทางสำเร็จมรรคผล

หลวงปู่สีโห อยู่ในป่าดงพญาไฟ หรือดงพญาเย็นนี้ เป็นเวลาสิบห้าราตรีได้พบปะสัตว์ร้ายมากมาย เช่น ช้าง เสือ หมี ควายป่า กระทิง งูจงอาง แต่สัตว์เหล่านี้ หาได้ทำอันตรายท่านไม่ ถ้าไม่หลีกหนีท่านไป พวกมันก็จะเข้ามาคอยคุ้มครองปกปักรักษา

ด้วยบารมีอันสูง ของหลวงปู่ผู้เป็นพระอริยเจ้า สามารถเข้าใจและรู้ภาษาของสัตว์ต่างๆ เมื่อพูดอะไรพวกสัตว์ก็จะรู้เรื่องรู้ภาษาจากอำนาจของอภิญญาจิต ปัญหามีอยู่ว่า หลวงปู่สีโหสามารถล่วงรู้ภาษาสัตว์ต่างๆ ในป่าและภาษาคนได้ทุกชาติทุกภาษาได้อย่างไร?

หลวงปู่สีโหได้กรุณาให้อรรถาธิบายแก่พระอาจารย์ยี่หลกผู้เป็นศิษย์เอกฟังดังนี้

คนเราพูดจากันมีความเข้าใจได้ด้วยเหตุสามประการคือ
๑. ขอบเขตแห่งถ้อยคำ
๒. ขอบเขตแห่งเนื้อความ
๓. ขอบเขตแห่งความเข้าใจ
ด้วยหลัก ๓ ประการนี้ ทำให้เกิดความรู้ภาษาทุกๆ ภาษาในโลก

เงื่อนไข ๓ ประการนี้ผสมผสานระคนปนเปกัน สลับซับซ้อนยุ่งยากมากมายทำให้เกิดแบ่งแยกเป็นภาษาต่างๆ วิวัฒนาการไปตามยุคตามสมัยจนไม่สามารถจะแยกเงื่อนไขความแตกต่างของหลัก ๓ ประการนี้ออกเป็นสายๆ
ได้เด่นชัดเป็นการเด็ดขาด เพราะภาษาต่างๆ ในโลกมีมากมายเหลือเกิน

แต่สำหรับพระที่สำเร็จฌานสมาบัติชั้นสูง สามารถใช้เจโตปริยญาณเป็นองค์คุณ แยกความแตกต่างของขอบเขตแห่งถ้อยคำ ขอบเขตแห่งเนื้อความขอบเขตแห่งความเข้าใจออกได้อย่างชัดแจ้งเป็นสัดส่วนเมื่อสามารถแยกเงื่อนไขทั้งสามประการนี้ได้สำเร็จ ย่อมจะสามารถเกิดความรู้ความเข้าใจในภาษามนุษย์ทุกชาติทุกภาษา รวมทั้งภาษาสัตว์ต่างๆ ได้โดยง่ายจะไม่มีปัญหาในเรื่องถ้อยคำ ในเรื่องเนื้อความและความเข้าใจ ที่เป็นเรื่องยุ่งยากสับสนสำหรับปุถุชนเลย นี่คือหลักการใช้เจโตปริยญาณในเรื่องทำความเข้าใจในภาษาต่างๆ ของท่านที่สำเร็จอภิญญา

หลวงปู่สีโหจาริกออกจากดงพญาเย็น ไปถึงพระพุทธบาท ได้ปักกลดอยู่ที่เขาโพธิ์ลังกา

หลังจากนมัสการพระพุทธบาทด้วยการเจริญพุทธานุสสติอยู่ ๓ วัน จึงได้ออกเดินทางมาสระบุรี นมัสการพระพุทธฉายอยู่ ๑ ราตรี จนปิติอิ่มเอมในพุทธบารมีแล้ว ก็ถวายนมัสการลามุ่งหน้าสู่อยุธยาอันเป็นจุดหมายปลายทางของการจาริกธุดงค์ในครั้งนี้

พระนครศรีอยุธยาเป็นเมืองโบราณ มีวัดวาอารามเก่าแก่ที่มีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์มากมาย บางแห่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มหัศจรรย์ควรค่าแก่การไปนมัสการและศึกษา จนปัจจุบันได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลก

ยุคสมัยอันรุ่งเรืองของกรุงศรีอยุธยาปรากฏว่าพระพุทธศาสนา สมณชีพราหมณ์ ได้รับการอุปถัมภกจากเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ในรัชสมัยต่างๆ อย่างถึงขนาดพูดได้ว่าพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองสูงสุด พระมหากษัตริย์หลายพระองค์
ได้ทรงออกผนวชเป็นหลักชัยแก่บ้านเมืองเป็นเยี่ยงอย่างแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินก่อให้เกิดปฏิปทาเลื่อมใสมั่นคง จรรโลงบวรพระพุทธศาสนาแพร่หลายออกไปอย่างกว้างขวางจรดพม่าและประเทศข้างเคียง

หลวงปู่สีโห จาริกธุดงค์มาพระนครศรีอยุธยาครั้งนี้ เพื่อนมัสการสถานที่ศักดิสิทธิ์ และพระพุทธปฏิมากรโบราณคู่บ้านคู่เมือง หลวงปู่มาถึงในตอนเย็นใกล้ค่ำได้ปักกลดที่ท้ายวัดพนัญเชิงติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา หลังจากสรงน้ำชำระกาย
ให้ชุ่มชื่นสบายในแม่น้ำแล้ว ท่านก็เข้าไปกราบนมัสการท่านพระครูเจ้าอาวาส วัดพนัญเชิงผู้เป็นเจ้าของถิ่นตามธรรมเนียม

ท่านพระครูสมภารเจ้าวัดในตอนนั้น ชื่ออะไรก็จำไม่ได้แล้ว จำได้แต่ว่าท่านชราภาพมีพรรษาสูงเป็นที่เคารพนับถือเลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้านมาก ท่านพระครูได้นิมนต์หลวงปู่ให้เข้ามาจำวัดในกฏิด้วยกัน แต่หลวงปู่สีโหพอใจที่จะปักกลดอยู่ท้ายวัดมากกว่า เพื่อความวิเวก ซึ่งท่านพระครูก็ไม่ขัดข้อง เพราะรู้ปฏิปทาของพระกรรมฐานเป็นอันดีว่าชอบอยู่วิเวกตามลำพัง หลวงปู่สนทนากับสมภารเจ้าวัดพอสมควรแล้ว ก็ขออนุญาตเข้าไปในวิหารใหญ่เพื่อนมัสการหลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง

ท่านพระครูสมภารมีความยินดีให้พระลูกวัดอำนวยความสะดวกเปิดประตูวิหารให้ พร้อมทั้งจัดดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องสักการะบูชาเมื่อเข้าไปในวิหารแล้ว หลวงปู่ก็ทำอารมณ์จิตให้ตั้งมั่น มีปิติชุ่มชื่นโสมนัสกราบนมัสการหลวงพ่อโตด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้ว น้อมจิตรำลึกถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า สมัยเมื่อพระองค์เที่ยวจาริกโปรดสัตว์โลก
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่

ครั้งเมื่อพระพุทธองค์ทรงเสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานแล้ว ก็ยังทรงพระมหากรุณาประดิษฐานพระเจดีย์ทั้งห้าคือ
พระปฏิมากร, พระมหาโพธิ, พระสถูป, พระชินธาตุ และพระไตรปิฏกอันเป็นที่พึ่งแก่ชาวโลกซึ่งเกิดมาในภายหลัง

หลวงปู่สีโหได้เจริญพุทธานุสสติอยู่จนอารมณ์เต็มเปียมโสมนัสศรัทธาในพระพุทธบารมี จึงได้ถอนจากฌาน เตรียมจะกราบลาหลวงพ่อโตกลับ

ทันใดก็ปรากฏมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้าประตูวิหารมา ซึ่งขณะนั้นหลวงปู่นั่งหันหลังให้ประตู แต่ก็สามารถมองเห็นได้อย่างประหลาด ทั้งๆ ที่ท่านไม่ได้หันไปมองเลย ทำให้ท่านรู้ได้ทันทีว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นวิญญาณที่มีฤทธิ์มาก รูปร่างเธอสวยเหลือเกิน สวยเกินมนุษย์ปกติทั่วไปผิวขาวผ่องยองใย ลักษณะเป็นคนจีน หน้าตาอิ่มเอิบมีบุญญาธิการ แต่งองค์ทรงเครื่องนางพญาพระเจ้ากรุงจีน เหมือนพวกงิ้วแต่งยังงั้นแหละท่าทางเดินอ่อนช้อย งามสง่า เท้าไม่ติดพื้นคล้ายลอยมาเธอเดินค้อมตัว ย่อตัวหลีกหลวงปู่ไปทางขวามือ แล้วหยุดยืนอยู่ในระยะห่างพอสมควร ทำกิริยายิ้ม จ้องดูหลวงปู่

หลวงปู่มองดูนางเต็มตา เป็นการมองด้วยตาเนื้อตามปกติ เพราะท่านได้ออกจากสมาธิแล้วนั่นเอง ก็เหมือนคนเรามองดูกันธรรมดาอย่างสบายนั่นแหละ

หลวงปู่ได้เอ่ยถามทักทายขึ้นว่า “เจริญพรโยม” เธอยอบตัวลงนั่งพับเพียบเรียบร้อยบนเสื่อน้ำมันที่ปูหน้าแท่นสักการะบูชา แล้วก้มกราบหลวงปู่ แล้วกล่าวปฏิสันถานขึ้นด้วยสุ้มเสียงไพเราะ “สาธุ พระผู้เป็นเจ้า หม่อมฉันขอนมัสการ”

หลวงปู่ถาม “โยมมาจากไหน” “หม่อมฉันอยู่ที่นี่มานานแล้วพระผู้เป็นเจ้า” เธอตอบยิ้มๆ
“อยู่วัดนี้หรือ” หลวงปู่ถามด้วยความแปลกใจ
“ชาวบ้านเขาสร้างศาลให้อยู่ ติดกับพระวิหารหลังนี้ ชื่อศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก”
เธอตอบยิ้มๆ

หลวงปู่นึกออกได้ทันที เพราะเคยรู้เรื่องราวจากพระราชพงศาวดารมาบ้างเหมือนกัน
“อ้อ งั้นโยมก็เห็นจะใช่ เจ้าแม่สร้อยดอกหมาก พระราชธิดาเจ้ากรุงจีนน่ะซิ”
“ถูกแล้วพระผู้เป็นเจ้า” พระนางสร้อยดอกหมากตอบ
“อาตมาขอถวายพระพร ทีแรกไม่รู้ว่าจะเป็นพระนาง เมื่อรู้แล้วเช่นนี้
ก็มีความยินดีที่ได้รู้จัก พระอัครมเหสี พระเจ้าสายน้ำผึ้ง ผู้มีบุญญาภิสังขารยิ่งใหญ่
ในสมัยโบราณกาลก่อนกระโน้น” หลวงปู่กล่าวฉันท์เมตตาจิต

พระนางสร้อยดอกหมากยิ้มละมัย ประนมมือสาธุรับพร
หลวงปู่ได้ถามพระนางต่อไปว่า “พระนางอยู่ที่วัดนี้มานานแล้วประมาณสักกี่ปี”
พระนางตอบว่า “หม่อมฉันอยู่ที่ศาลแห่งนี้มานานเกือบพันปีแล้วพระผู้เป็นเจ้า”
หลวงปู่ถามต่อ “ก็นับว่าพระนางอยู่ที่นี่นานโขอยู่ ด้วยวิบากกรรมอันใดเล่าพระนางถึงไม่ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นฟ้าเสวยสุขอันเป็นทิพย์”

พระนางได้ตอบว่า “พระผู้เป็นเจ้าก็ย่อมจะทราบดีอยู่แล้วว่า หนึ่งวันในโลกวิญญาณเท่ากับ ๑๐๐ ปีในโลกมนุษย์ หม่อมฉันละร่างจากโลกมนุษย์มาอยู่โลกวิญญาณยังไม่ถึง ๑๐ วันเลย หม่อมฉันยังจะต้องอยู่ในโลกวิญญาณต่อไปอีกนาน
หลายร้อยปี จนกว่าจะสิ้นกรรม”

หลวงปู่ถามต่อว่า “หลายร้อยปีของโลกวิญญาณใช่ใหม”
พระนางกล่าวตอบว่า “ถูกแล้วพระผู้เป็นเจ้าวิบากของหม่อมฉันเนื่องด้วยชาติปางก่อนเคยเกิดเป็นแม่ชี สำเร็จได้ฌานสมาบัติแล้วเกิดอุปาทานหลงผิด เบื่อหน่ายในสังขาร ต้องการจะสำเร็จเพื่อละร่างไปสู่สวรรค์ จึงได้กระทำอัตตวินิบาตกรรมด้วยการผูกคอตายผลของการได้ฌานสมาบัติ แต่ไม่ได้เข้าฌานขณะที่ตาย และเป็นการตายโดยที่ยังไม่ถึงวาระเช่นนี้ วิบากกรรมนั้นส่งผลอยู่สองประการคือถ้าไม่เกิดเป็นเทวดาอำมาตย์ของท้าวเวสสุวรรณ ก็จะเกิดเป็นภุมเทวดา
เป็นพระภูมิเจ้าที่หรือเทพารักษ์สถิตย์อยู่ตามศาลเจ้า แต่วิบากแต่หนหลังอันซับซ้อนของหม่อมฉันที่ผูกคอตายในชาติที่เป็นแม่ชีได้รับผลบุญได้เกิดเป็นพระราชธิดาของพระเจ้ากรุงจีนเสียก่อน แล้วจึงได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้าสายน้ำผึ้ง หลังจากนั้นกรรมหนักที่เคยผูกคอตายก็ตามมาตัดรอน ทำให้หม่อมฉันเกิดความน้อยใจ หลงผิดด้วยอารมณ์ชั่ววูบผูกคอตายอีก เพราะถูกพระเจ้าสายน้ำผึ้งขัดใจ”

หลวงปู่ได้ถามต่ออีกว่า “แล้วพระเจ้าสายน้ำผึ้งล่ะ ท่านไปเกิดแล้วหรือว่ายังมีวิบากเกี่ยวพันกันอยู่อีก”

พระนางสร้อยดอกหมาก ตอบว่า ” พระเจ้าสายน้ำผึ้ง ไปเกิดอยู่สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้วยกุศลบารมีที่ได้บริจาคทานและรักษาศีลมาก เวลานี้ก็แวะไปมาหาสู่เยี่ยมเยียนหม่อมฉันอยู่เสมอ ด้วยความนับถือกัน แต่ไม่มีอะไรผูกพันกับหม่อมฉันเหมือนเมื่อเป็นสามีภรรยากันในโลกมนุษย์หรอกเจ้าค่ะ พระผู้เป็นเจ้า “

หลวงปู่ถามต่อว่า ” พระเจ้าสายน้ำผึ้งนี่รูปร่างหน้าตาท่านเป็นอย่างไรนะ เหมือนคนไทยทุกวันนี้ใหมหรือว่าใหญ่โตกว่ากันมาก เขาว่าคนโบราณมักสูงใหญ่ถึงหกศอกแปดศอกใช่ไหมพระนาง”

พระนางสร้อยดอกหมากหัวเราะน้อยๆ แล้วกล่าวตอบว่า ” พระผู้เป็นเจ้าจะได้เห็นเอง วันนี้พระเจ้าสายน้ำผึ้งก็ได้มาด้วยกับหม่อมฉัน “

” เอ๊ะ…….ไม่เห็นมีนี่พระนาง ” หลวงปู่กล่าวอย่างแปลกใจ
” ท่านรออยู่ข้างนอกค่ะ ยังไม่ได้เข้ามาในนี้ “
” อ้าว เชิญท่านเข้ามาซิพระนาง “

ทันใดร่างพระเจ้าสายน้ำผึ้งก็ปรากฏตัวเดินเข้ามาในพระวิหาร แต่งองค์ทรงเครื่องอลงกตพิภูษาสรรพาภรณ์แพรวพราวด้วยแก้วกาญจนมณีรัตนชัชวาล ตามแบบเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ ทรงอิสริยยศงามสง่า พระวรกายสูงใหญ่ กว่าคนในปัจจุบัน ผิวขาว หน้าตาคมสันสวยนัยย์ตาโตดำยาวคมกริบ เป็นประกายกล้าแข็งมีอำนาจแต่ทว่าแฝงไว้ด้วยความเมตตา

พอเข้ามาถึงก็ก้มลงกราบนมัสการหลวงปู่ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ยิ้มแย้มแจ่มใส
” อาตมาภาพขอถวายพระพร พระราชสมภารเจ้า ” หลวงปู่ทักทาย
” สาธุ พระผู้เป็นเจ้า ” พระเจ้าสายน้ำผึ้งประนมมือรับสนองพระพรและยิ้มละไม

หลวงปู่สีโห ได้ถามว่า ” พระราชสมภารเจ้า อยู่สุขสบายดีหรือ “
” สุขและทุกข์ก็มีคละกันไปเหมือนมนุษย์ในโลกนี้แหละพระผู้เป็นเจ้า
แต่ทุกข์ของเทวดานั้น เป็นทุกข์ทางใจ ไม่ใช่ทางกาย ทุกข์ทางใจได้แก่ตัวโมหะ

เทวดาบางตนก็เพลิดเพลินหลงไหลงมงายอยู่กับกามสุขทั้งหลายเทวดาบางตนก็ติดอยู่ในกิเลสตัณหาอุปาทาน
บางตนก็เล็งเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พยายามบำเพ็ญศีลฟอกจิตใจตัวเองออกจากกิเลส เพื่อหวังเลื่อนภูมิเลื่อนชั้นตัวเองให้สูงขึ้นสวรรค์เทวโลกแดนของพวกกินข้าวทิพย์ อยู่ในวิมานทิพย์นี่นะ โยมเองก็รู้สึกเบื่อๆ อยู่เหมือนกัน ”

พระเจ้าสายน้ำผึ้งตอบอย่างอารมณ์ดีแล้วแลไปสบตายิ้มให้พระนางสร้อยดอกหมาก

หลวงปู่สีโหมีความรู้สึกว่า พระเจ้าสายน้ำผึ้งเป็นเทพที่มีบุญบารมีทางสัมมาทิฐิแตกฉานข้ออรรถข้อธรรม น่าเลื่อมใส

” พระราชสมภารเจ้า ไปมาหาสู่พระนางสร้อยดอกหมากอยู่เสมอ อาตมาเข้าใจว่าพระราชสมภารเจ้าคงจะมีความห่วงอาลัยชาติภูมิมนุษย์อยู่ละกระมัง “

” ก็มีอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเรื่องทางถาวรวัตถุในพระศาสนา คือว่าโยมต้องมาคอยดูแลพระพุทธปฏิมากรที่ตัวเองได้สร้างไว้อยู่เสมอ เพราะเป็นพระที่สร้างขึ้นด้วยศิลปะด้วยแรงศรัทธาประสาทะอย่างสูงในสมัยนั้น โดยร่วมแรงใจแรงกายกันกับไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ เมื่อสร้างแล้วก็กลายเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง มีเทวฤทธิ์สิ่งสู่คุ้มครองรักษา “

” พระพุทธรูปที่ว่านี่เห็นจะใช่หลวงพ่อโตองค์นี้กระมัง “
” ใช่แล้วพระผู้เป็นเจ้า หลวงพ่อโต วัดพนัญเชิงนี่องค์หนึ่ง อีกองค์คือ หลวงพ่อพระมงคลบพิตรอยู่ในวิหารวังโบราณโน่น เป็นพระโตใหญ่หรือหลวงพ่อโตด้วยกันทั้งคู่ “

” พระราชสมภารเจ้า สร้างพระพุทธรูปทั้งสององค์นี้พร้อมกันหรือ “
” สร้างปีเดียวกัน เมื่อคราวงานสมโภชกรุงอโยธยา ถ้านับเนื่องไปแล้วก็เป็นยุคสมัยก่อนพระเจ้าอู่ทอง มาสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นเวลากว่า ๓๐๐ ปี ” พระเจ้าสายน้ำผึ้งตอบ

พระนางสร้อยดอกหมากได้กล่าวขึ้นบ้างว่า” มีคนเข้าใจกันมาก ว่าหลวงพ่อโตวัดพนัญเชิง และหลวงพ่อโตมงคลบพิตรนี้สร้างขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี บางคนก็ว่าสร้างราวแผ่นดิน สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เรื่องนี้ไม่เป็นความจริงเลย หลวงพ่อโตทั้งสององค์นี้เสด็จพี่สายน้ำผึ้งเป็นผู้สร้างเอง พระผู้เป็นเจ้า “

หลวงปู่สีโห ตอบว่า ” เรื่องประวัติศาสตร์นี้ อาตมาไม่ค่อยจะมีความรู้นักเมื่อรู้ว่าพระราชสมภารเจ้าเป็นผู้สร้างพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์เก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองทั้งสององค์นี้ ก็ใคร่ขออนุโมทนาด้วย การที่พระราชสมภารเจ้ามีความเป็นห่วงเป็นใยพระพุทธรูปทั้งสององค์นี้ก็สมควรแล้ว

ตามธรรมดาเทพยดาผู้มีความห่วงใยในพระศาสนา มักจะเกรงว่ามนุษย์ผู้เต็มไปด้วยกิเลสทั้งหลาย จะบำรุงปฏิสังขรณ์ปูชนียววัตถุศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เสมอต้นเสมอปลาย จึงมีความห่วงใยเข้าพิทักษ์รักษา เพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ให้พระพุทธรูปเป็นที่มหัศจรรย์เสมอมา “

พระเจ้าสายน้ำผึ้งและพระนางสร้อยดอกหมาก ได้ฟังดังนั้นก็ทรงยิ้มละไมแสดงความพอพระราชหฤทัยมาก พระเจ้าสายน้ำผึ้งกล่าวต่อไปว่า

” โยมสร้างหลวงพ่อโตทั้งสององค์นี้ เจตนาจะให้เป็นพระใหญ่สถิตอยู่กลางแจ้งเช่นเดียวกับพระสถูปเจดีย์ แต่เจ้าฟ้ามหากษัตริย์ในแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาต่อ ๆ มาได้พากันสร้างวิหารครอบไว้เสียหมด เพราะไม่อยากให้ตากแดดตากฝน
จึงทำให้ลดความสง่างามลง เรื่องนี้โยมรู้สึกผิดหวัง แต่ก็ไม่ได้ถือสาอะไรเพราะเจตนา ปสาทะของพวกเขาก็เป็นกุศลเหมือนกัน หากแต่รู้เท่าไม่ถึงการณ์เท่านั้น “

หลวงปู่นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถามต่อว่า ” พระราชสมภารเจ้าและพระนางมาหาอาตมาในคืนนี้จะให้อาตมาร่วมกุศลอะไรด้วยหรือ “

” หามิได้….. โยมทั้งสองมากราบนมัสการพระผู้เป็นเจ้า ก็ด้วยจิตเลื่อมใสศรัทธาในการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของพระผู้เป็นเจ้า และมีปฏิปทาอันพากเพียรมุ่งมั่น รอนแรมมาจากแดนไกลเพื่อที่จะนมัสการหลวงพ่อโตทั้งสององค์และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในเมืองกรุงเก่านี้

พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ทรงศีลสะอาดบริสุทธิ์ เป็นพระอริยะเจ้าควรแก่เทวดาจะกราบไหว้โยมทั้งสองถือว่าเป็นบุญ ได้อานิสงส์แรงที่ได้กราบไหว้พระผู้เป็นเจ้าในคืนนี้ “

พระนางสร้อยดอกหมากกล่าวขึ้นบ้างว่า” หม่อมฉันรักษาอุโบสถศีลสม่ำเสมอ วันนี้ใคร่ขออาราธนาศีลจากพระผู้เป็นเจ้าด้วยเพื่อเพิ่มพูนอานิสงส์ “

หลวงปู่กล่าวตอบว่า ” การรักษาอุโบสถศีลมีอานิสงส์มากกว่าการให้ทานพระนางประพฤติถูกต้องแล้ว อาตมาขออนุโมทนา “

พระเจ้าสายน้ำผึ้ง จึงทรงกล่าวขึ้นบ้างว่า
” พระนางและโยม เมื่อได้มาพบกันอีกในโลกวิญญาณ ต่างก็มีจิตตรงกันที่จะบำเพ็ญเพียรภาวนารักษาศีล มีความเหนื่อยหน่ายในโลกียสุขอันไม่จีรังยั่งยืน ไม่ว่ามนุษย์ เทวดา พรหม ต่างก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่มีสิ้นสุดในห้วงวัฏสงสาร พระนางและโยมเบื่อหน่ายการเกิดอีก ต่างก็มุ่งที่จะสำเร็จมรรคผลในชาติต่อไป “

” พระราชสมภารเจ้าและพระนางทรงคิดชอบแล้ว อาตมาภาพขออนุโมทนา “

จากนั้นพระเจ้าสายน้ำผึ้งก็ขออาราธนาศีลอุโบสถ หลวงปู่ให้ศีลและเทศน์โปรดเป็นที่ปิติซาบซึ้งแก่ทั้งสองพระองค์เป็นอันมาก

เมื่อพระเจ้าสายน้ำผึ้งและพระนางสร้อยดอกหมากกราบนมัสการลากลับแล้วหลวงปู่ก็ออกจากวิหาร จะกลับไปยังกลดที่ท้ายวัด พระภิกษุลูกวัดชื่อสำเภาซึ่งมาเปิดประตูวิหารให้เมื่อตอนหัวค่ำยังนั่งรอยู่ที่ม้าหินขัด ใกล้ๆ ประตูนั่นเอง
เพื่อรอปิดพระวิหารให้เรียบร้อย

” กระผมเห็นหลวงปู่นั่งพูดอยู่ในวิหาร แล้วก็มีเสียงผู้หญิงกับผู้ชายร่วมสนทนาอยู่ด้วย แต่มองไม่เห็นตัว หลวงปู่พูดอยู่กับใครขอรับ” พระสำเภาถามด้วยความประหลาดใจเป็นล้นพ้น

หลวงปู่หัวเราะหึๆ ชี้มือไปที่ศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมากที่อยู่ใกล้ๆ แล้วตอบว่า” ถ้าอยากรู้ก็ไปถามเจ้าแม่สร้อยดอกหมากดูซิ บางทีคุณอาจจะได้พบกับพระเจ้าสายน้ำผึ้งด้วยที่นั่น “

พระสำเภาตลึงพูดไม่ออก มีสีหน้าขาวซีดด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึงอย่างเห็นได้ชัด หลวงปู่ได้บอกให้พระสำเภาปิดประตูวิหารเสียให้เรียบร้อยป้องกันพวกหัวขโมยจะลอบเข้าไปลักพระพุทธรูปขนาดเล็กและข้าวของ
เครื่องสักการะบูชาอันมีค่ามากมาย

เมื่อพระสำเภาปิดประตูพระวิหารเรียบร้อยแล้วและกลับไปที่กุฏิพัก หลวงปู่สีโหได้เดินลงมาทางหน้าพระวิหาร แล้วหยุดอยู่ในระยะห่างประมาณ ๒๐ วา มองไปทางพระวิหารหลวงพ่อโต แล้วนั่งพิจารณาถึงประวัติศาสตร์และโบราณคดี ตามที่ได้รับฟังมาจากดวงพระวิญญาณของพระเจ้าสายน้ำผึ้งและพระนางสร้อยดอกหมาก แล้วก็อัศจรรย์ที่ดวงพระวิญญาณทั้งสองพระองค์ยังวนเวียนผูกพันอยุ่ ณ ที่นี้ ชะรอยหลวงพ่อโต วัดพนัญเชิงนี้ จะต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรสักอย่างซ่อนอยู่ภายในองค์พระเป็นแน่ เพราะตามธรรมดาคนโบราณสร้างพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง จะต้องประกอบ
พิธีการใหญ่โต ถูกต้องเคร่งครัด และประจุสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้เสมอ เมื่อดำริเช่นนี้แล้ว หลวงปู่ก็นั่งคุกเข่าลงกราบกับพื้นดิน ๓ หน นมัสการหลวงพ่อโตอีกครั้ง แล้วอธิฐานจิตว่า

” ด้วยข้าพระพุทธเจ้าเป็นลูกของพระตถาคต ได้บำเพ็ญบารมีเจริญรอยตามพระบาทของพระบรมศาสดา เพื่อหวังมรรคผลนิพพาน ได้เดินทางรอนแรมมาไกลด้วยความศรัทธายิ่ง ขอหลวงพ่อโตโปรดได้สำแดงปาฏิหารย์ให้
ปรากฏ เพื่อเพิ่มพูนศรัทธาของข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิด “

อธิษฐานเสร็จ หลวงปู่ก็เข้าสมาธิแบบลืมตา เพ่งมองอยู่ที่ปลายจมูกจุดเดียวเพียงชั่ววินาทีก็เข้าถึงจตุถฌาน คือเข้าถึงปุปก็ถึงปั๊ป ในชั่วขณะจิตทันทีเรียกว่าวสี คือมีความชำนาญคล่องแคล่ว จากนั้นก็ถอยจากจตุถฌาน ลงมาอยู่แค่อุปจารฌาน คือฌานที่มีอารมณ์รู้สึกนึกคิดเห็นอะไรได้

ครั้นแล้วในชั่วอึดใจต่อมา ท่ามกลางความมืดอัน เงียบสงัดวังเวง ที่แผ่คลุมไปทั่วอาณาบริเวณวัดราตรีนั้น
ก็ปรากฏแสงรัศมีสว่างจ้าขึ้นในพระวิหารหลวงพ่อโต แสงนั้นคล้ายกับแสงหลอดฟูออเรสเซนต์นับร้อยนับพันหลอด แต่ทว่ามีแสงนวลกว่าสว่างเย็นตากว่า หลวงปู่สีโหลืมตาขึ้นเป็นปกติ ถอนอารมณ์ออกจากอุปจารฌานเพื่อที่จะได้มองตามปกติด้วยตาเนื้อ เหมือนคนเรามองดูอะไรตามปกติไม่ได้ดูด้วยฌาน ภาพที่หลวงปู่เห็นนั้นเป็นพระพุทธรูปหลวงพ่อโตในวิหารนั่นเอง ลอยเด่นอยู่ท่ามกลางปริมณฑล สว่างไสวคล้ายสร้างด้วยแก้วอันโปร่งใส ตัวพระวิหารหลังใหญ่ได้หายไปหมด ดูๆ ไปคล้ายพระจันทร์วันเพ็ญสุกสกาวลอยเด่นอยู่ในราตรีกาลอันปราศจากเมฆฉะนั้น

หลวงปู่สีโหบังเกิดอารมณ์ปิติซาบซ่านโสมนัสอินทรีย์ ไม่มีอะไรเปรียบที่ได้ประจักษ์ในพระพุทธบารมี รัศมีสว่างพราวออกทั้งองค์หลวงพ่อโตนี้ปรากฏอยู่ประมาณ ๕ นาที ก็ค่อยๆ หลี่ลงจนเกือบดับ ครั้นแล้วก็สว่างพราวขึ้นอีกครั้ง เจิดจ้ายิ่งกว่าเก่า เป็นอย่างนี้อยู่สามครั้ง แสงสว่างจึงค่อยๆ หลี่ลงๆ และดับวูบหายไปในที่สุด เหลืออยู่แต่ความมืดอันสงัด
วังเวงเหมือนเดิม

หลวงปู่สีโห ได้บังเกิดธรรมปิติอิ่มเอิบในพุทธปาฏิหารย์ครั้งนี้ยิ่งนักเพิ่มความเชื่อมันว่า ณ ที่ใด ที่พระพุทธบารมีสำแดงปาฏิหารย์ให้ปรากฏ ณ ที่แห่งนั้นย่อมจักมีพระบรมสารีริกธาตุสถิตอยู่

หลวงพ่อโตวัดพนัญเชิงนี้ มีพระบรมสารีริกธาตุสถิตอยู่ข้างในองค์พระปฏิมากรอย่างไม่ต้องสงสัยอีกต่อไป จึงสมควรแล้วที่พระวิญญาณของพระเจ้าสายน้ำผึ้ง จะวนเวียนมานมัสการปกปักรักษาดูแลร่วมกับเทพยาดาทั้งหลายที่สิงสถิตย์อยู่ในพระวิหารนี้รวมทั้งพระนางสร้อยดอกหมากด้วย

วันต่อมา หลวงปู่สีโหได้ไปนมัสการหลวงพ่อโต พระมงคลบพิตร ณ พระวิหารในวังโบราณ ในตอนนั้นพระมงคลบพิตรและพระวิหารที่ถูกพม่าข้าศึกทำลาย เอาไฟเผาเมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ.๒๓๑๐ ยังคงมีสภาพปรักหักพังก็เฉพาะตัวพระวิหาร ส่วนองค์พระมงคลบพิตรได้รับการซ่อมแซมพระเมาลีและพระกรขวา รวมทั้งฐานให้เรียบร้อย
สมบูรณ์ครบองค์แล้ว แต่ก็ยังไม่งามเหมือนปัจจุบันพระวิหารและพระมงคลบพิตร ได้รับการซ่อมสร้างใหม่หมดให้เหมือนเดิมเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ ดังที่ปรากฏความสวยงามมาจนปัจจุบัน

เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าสายน้ำผึ้งยืนยันว่า ได้ทรงสร้างพระมงคลบพิตรในปีเดียวกันกับหลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง หลวงปู่สีโหก็เชื่อว่าในองค์หลวงพ่อพระมงคลบพิตรนี้ จะต้องมีพระบรมสารีริกธาตุสถิตย์อยู่ข้างในเหมือนกับองค์หลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง เช่นเดียวกัน เพราะพระมงคลบพิตรเป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองมาแต่โบราณกาล มีความศักดิ์สิทธิ์ทรงคุณเป็นอัศจรรย์น่าเลื่อมใสตลอดมา เป็นที่เคารพสักการะของคนทั่วไป มีคนมาสักการะบูชา
ทุกวันไม่เคยขาด

หลังจากนมัสการหลวงพ่อโตพระมงคลบพิตรแล้ว หลวงปู่ได้ไปท่องเที่ยวนมัสการตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ อีกหลายแห่ง เพราะกรุงศรีอยุธยามากมายไปด้วยวัดวาอารามร้าง มีปรางค์เจดีย์โบราณที่ควรค่าแก่การสนใจ
ตลอดจนสิ่งลี้ลับ วิญญาณที่วนเวียนเฝ้าหวงแหนขุมมหาสมบัติของกษัตราธิราชเจ้า ขุมทรัพย์ของพ่อค้าวาณิช และประชาราษฏร์ที่วายชีพไปตามกฏแห่งกรรมเมื่อครั้งกรุงแตก ได้นำข้าวของเงินทองซุกซ่อนให้พ้นจากสายตาของพม่าซึ่งมีอยู่ตามใต้ดินมากมายนับไม่ถ้วน เปรียบแล้ว อยุธยาก็คือสุสานขุมทรัพย์ในอดีต

จากการท่องธุดงค์ของหลวงปู่สีโห มีเหตุมหัศจรรย์มากมายยิ่งนักไม่แตกต่างไปจากพระภิกษุผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบองค์อื่นๆ เลย ถึงแม้ว่าบัดนี้ หลวงปู่ท่านจะมรณะภาพไปแล้วก็ตาม แต่คุณธรรมต่างๆ ของท่านที่ได้บำเพ็ญไว้ดีแล้วสมเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เดินตามรอยบาทพระศาสดาเป็นพระอริยสงส์ที่เป็นเนื้อนาบุญอันเลิศที่ควรเคารพกราบไหว้บูชา อย่างแท้จริง.

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *