โหราศาสตร์โบราณใช้การสังเกตุจดจำ มองการโคจรดวงดาวต่าง ๆ บนท้องฟ้าจากโลก และมองอิทธิพลจากแสงดาว มุมดาวต่าง ๆ ส่งมากระทบโลกหรือบุคคล มุมมองดาราศาสตร์ยุคนั้นใช้โลกเป็นศูนย์กลาง (Geocentric Model) ซึ่งแนวคิดเก่าแก่ที่มีกำเนิดมาแต่ยุคสมัยกรีกโบราณ โดยมีนักปราชญ์ในยุคนั้นทั้ง คลอเดียส ทอเลมี (Claudius Ptolemy) และ อริสโตเติล (Aristotle) ให้การสนับสนุน นักปรัชญากรีกโบราณล้วนแต่เชื่อว่า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ตลอดจนดวงดาวต่าง ๆ ล้วนแต่เคลื่อนที่เป็นวงกลมรอบ ๆ โลก ต่างจากการค้นพบดาราศาสตร์ปัจจุบัน ที่ระบบการโคจรมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง (Heliocentrism Model) แนวคิดนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ 300 ปีก่อนคริสตกาล นักคิดคนแรกคือชาวกรีกชื่อ อริสตาชุส (Aristarchus) แห่ง Samos ได้ริเริ่มแนวคิดที่ว่า โลกและดวงดาวต่าง ๆ เดินทางไปรอบ ๆ ดวงอาทิตย์ที่อยู่นิ่ง แต่เวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 นักดาราศาสตร์และนักคณิตศาสตร์ชาวโปแลนด์ชื่อ นิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัส (Nicolaus Copernicus) จึงได้นำเสนอแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่แสดงว่า ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล โดยมีหลักฐานการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ของ กาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei) ช่วยสนับสนุน
โหราศาสตร์ใช้ดาราศาสตร์ สังเกตุปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในแบบโลกเป็นศูนย์กลาง (Geocentric Model) ในขณะที่ในความเป็นจริงดวงดาวต่าง ๆ โคจรรอบดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โคจรรอบโลก ระบบโลกเป็นศูนย์กลาง (Geocentric Model) ก็จะเห็นมุมมองการโคจรเชิงสังเกตการณ์ เชิงปรากฏการณ์อีกแบบ คือจะเห็นดวงดาวต่าง ๆ เดินช้า เดินเร็ว หยุดบ้าง เมื่อเปรียบเทียบกับกลุมดาวจักรราศี
การโคจรของดาวพระเคราะห์ในดาราศาสตร์ แบ่งเป็น 2 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ ปรกติ และ วิปริต
การโคจรปรกติ ช่วงเวลาที่เปลี่ยนไปแปรผันโดยตรงกับตำแหน่งที่เปลี่ยนไป ดาวเคลื่อนที่สม่ำเสมอ ค่าเฉลี่ยการเคลื่อนตัวผ่านแต่ละราศีใช้เวลาคงที่ ดาวเคราะห์ที่โคจรปรกติตลอดเวลา คือ อาทิตย์ , จันทร์ ส่วนดาวเคราะห์อื่น ๆ จะมีลักษณะโคจรวิปริต
การแบ่งช่วงการโคจรวิปริตได้เป็น 3 แบบหลัก ๆ คือ ดาว พักร์ มนท์ เสริต
พักร์ (Retrograde Motion) ดาวโคจรถอยหลัง หรือดาวโคจรช้า กว่าโลกจึงทำให้มองเหมือนโคจรถอยหลัง สังเกตุได้จาก ช่วงองศา ลิปดาของวันนั้น ๆ กับวันถัดไปช่วงเวลาเดียวกัน จะลดลงเรื่อย ๆ น้อยกว่ากว่าค่าเฉลี่ย
มนฑ์ (Stationary Motion) ดาวโคจรช้า เมื่อเทียบกับเวลา สังเกตุได้จาก องศา ลิปดาของวันนั้น ๆ กับวันถัดไปช่วงเวลาเดียวกันช้ากว่าค่าเฉลี่ย , มนฑ์ เป็นช่วงที่ดาวโคจรชะลอตัวก่อนและหลังจากพักร์
เสริต (Direct/Progress Motion) ดาวโคจรเดินหน้ารวดเร็ว เสริตจะเกิดหลังจากมนฑ์ และโคจรปรกติมาช่วงนึง ช่วงองศา ลิปดาของวันนั้น ๆ กับวันถัดไปช่วงเวลาเดียวกัน มากกว่าค่าเฉลี่ย
โดยปรกติ ดาวพระเคราะห์นอกเหนือจาก อาทิตย์ , จันทร์ จะโคจรวิปริตและโคจรปรกติสลับกัน ระยะเวลาการโคจรวิปริต หรือรอบจะแตกต่างขึ้นอยู่กับรอบการโคจรช้าเร็วของดาวเคราะห์แต่ละดวงรอบดวงอาทิตย์ โดยดาวเคราะห์วงใน (พุธ,ศุกร์) รอบจะเร็วกว่าสังเกตง่ายกว่าดาวเคราะห์วงนอก (อังคาร,พฤหัสบดี,เสาร์,ยูเรนัส,เนปจูน) เช่น ดาวพุธรอบจักรราศีใช้เวลา 1 ปี จะโคจรวิปริตบ่อยกว่าแต่ใช้เวลาสั้นกว่าดาวเสาร์ ซึ่งรอบจักรราศีใช้เวลา 30 ปี เป็นต้น
กรณี พักร์ มนฑ์ เสริต ข้ามราศี หมายถึงช่วงที่โคจรวิปริตนั้น ๆ เกิดขึ้นช่วงที่ดาวกำลังเปลี่ยนราศี